
นิติศาสตร์และการทำฟางอัดก้อน: คุยกับหัวหน้าโครงการ “นิตินวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ จากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม”
ผศ.วีระยุทธ หอมชื่น ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
เนื่องด้วยมหาวิทยาลัยมีวิสัยทัศน์ “มหาวิทยาลัยสร้างปัญญา เพื่อนวัตกรรมชุมชน สู่สากล อย่างยั่งยืน” และมีการดำเนินการหลายอย่างโดยเฉพาะด้านการวิจัยและวิชาการเพื่อทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์กับชุมชนอย่างแท้จริง ประกอบกับในช่วงเวลานี้ ประเด็นร้อนที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหาจาก PM 2.5 ที่ต้นเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ฝ่ายนวัตกรรมการเรียนรู้และสื่อสารองค์กรคณะนิติศาสตร์จึงชวน ผศ. วีระยุทธ หอมชื่น ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษา ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย "นิตินวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ จากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม" รางวัลเหรียญทอง โครงการ “1 คณะ 1 ชุมชนนวัตกรรม” ประจำปี 2567 มาพูดคุยเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมถึงที่มาของโครงการวิจัย นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย และทำไมถึงเลือกทำฟางอัดก้อน
ถาม:
เวลาพูดถึงนวัตกรรม เรามักจะนึกถึงสิ่งประดิษฐ์หรือโครงงานต่าง ๆ แต่พอมาถึงเรื่องทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะกฎหมาย ก็อาจจะมีคนนึกภาพไม่ออกว่ามันควรจะเป็นอะไรกันแน่ คำว่า “นิตินวัตกรรม” ในความคิดเห็นของอาจารย์คืออะไร
ตอบ:
แน่นอนว่า เมื่อเราพูดถึงกฎหมาย ก็ย่อมนึกถึงกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติว่า
อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ แต่อันที่จริงแล้ว เครื่องมือที่ใช้กำหนดความประพฤติมีหลายอย่างด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือการใช้มาตรการทางการเงินเพื่อจูงใจให้เกิดประพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ในบางปัญหา การใช้กฎหมายอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องอาศัยเครื่องมืออื่น ๆ เข้ามาเสริม คำว่า “นิตินวัตกรรม” ในโครงการนี้ตั้งใจจะสื่อความหมายถึงเครื่องมือที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างมาตรการทางกฎหมายกับเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์สำหรับนำไปใช้แก้ปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม
ถาม:
ในงาน “1 คณะ 1 ชุมชนนวัตกรรม ประจำปี 2567” ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 ที่ผ่านมา ผู้เข้าชมงานดูค่อนข้างแปลกใจที่เห็นผลผลิตของคณะนิติศาสตร์เป็นฟางอัดก้อน เพราะอะไรถึงเลือกทำโครงการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมด้วยวิธีการสนับสนุนให้เกษตรกรทำฟางอัดก้อน และโครงการวิจัยนี้เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายและประเด็นปัญหาทางกฎหมายอย่างไร
ตอบ:
เหลุผลที่เลือกทำโครงการวิจัยนี้เนื่องจากเคยทำวิจัยเกี่ยวกับการเผาในพื้นที่โล่งมาก่อน
ได้ข้อสรุปว่า กฎหมายที่มีส่วนสำคัญในการควบคุมการเผาในภาคเกษตรกรรม ได้แก่ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 แต่พบว่า
แม้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 จะให้อำนาจเจ้าพนักงานท้องถิ่นออกคำสั่งห้ามเผาได้ก็ตาม
แต่การสั่งห้ามนี้เป็นการสั่งห้ามเฉพาะราย แต่ในความเป็นจริงเจ้าพนักงานท้องถิ่นมักไม่ทราบว่าใครเป็นคนเผา เมื่อไม่ทราบว่าใครเป็นคนเผา ก็ไม่สามารถออกคำสั่งห้ามเผาได้ ในขณะที่พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 แม้จะให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดออกคำสั่งห้ามเผาเด็ดขาด ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมเชิงพื้นที่ แต่มาตรการนี้ใช้บังคับได้ชั่วคราวเท่านั้น ประกอบกับในมุมมองของเกษตรกรก็มองว่า การเผาฟางข้าวเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น การห้ามเผาเด็ดขาดจึงขัดกับวิถีชีวิตของเขา ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
ถาม:
มีแนวทางการเลือกพื้นที่กับมีขั้นตอนการดำเนินโครงการอย่างไร และเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว จะทำให้นิตินวัตกรรมนี้เกิดความยั่งยืนได้อย่างไร
ตอบ:
เมื่อมหาวิทยาลัยพะเยาเปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัย 1 คณะ 1 ชุมชนนวัตกรรม พ.ศ. 2567 จึงถือโอกาสนี้ยื่นข้อเสนอเข้าไปเพื่อไขข้อสงสัยดังกล่าว หลักเกณฑ์ของการโครงการวิจัย 1 คณะ 1 ชุมชนนวัตกรรมมีอยู่ว่า ให้เลือกพื้นที่ดำเนินการในเทศบาลตำบลแม่กา อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา เหตุผลง่าย ๆ ที่เลือกพื้นที่หมู่ 15 บ้านเกษตรสุข เพราะมีคำว่า “เกษตร” เป็นชื่อหมู่บ้าน ซึ่งสอดคล้องกับชื่อหัวข้อวิจัย
ในการเริ่มดำเนินโครงการ ได้ประสานไปยังผู้ใหญ่บ้านหมู่ 15 เพื่อให้ประชาสัมพันธ์โครงการและประกาศรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ ในระยะแรกมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟัง 5 คน ได้ชี้แจงหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญ 2 ข้อ ประกอบด้วย ต้องเป็นเกษตรกรที่ทำนาข้าวในพื้นที่ตำบลแม่กา และเกษตรกรต้องมอบประโยชน์ส่วนเพิ่ม โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่า หัวหน้าโครงการจะให้เงินอุดหนุนเมื่อเกษตรกรได้อัดฟางก้อนตามสัญญาในอัตราก้อนละ 3 บาท จำกัดโควตารายละไม่เกิน 500 ก้อน เมื่อเกษตรกรทั้ง 5 รายผ่านการอบรมแล้ว จึงมอบหมายให้ไปหาเกษตรกรรายอื่นที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ข้างต้น ในท้ายที่สุด ได้ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 19 ราย
เนื่องจากภารกิจในการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษรตรกรรมเป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เมื่อจบโครงการ จะส่งมอบผลงานวิจัยให้กับเทศบาลตำบล
แม่กาเพื่อใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมในเขตปกครอง
ถาม:
มีปัญหาและอุปสรรคในการทำโครงการวิจัยนี้หรือการทำวิจัยเพื่อสร้างนิตินวัตกรรมบ้างหรือไม่ และอยากให้เสนอแนะ แนะนำ หรือให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการทำวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม สำหรับนักวิจัยที่อยากจะลองยื่นข้อเสนอโครงการ “1 คณะ 1 ชุมชนนวัตกรรม” หรือเริ่มต้นทำโครงการวิจัยเชิงพื้นที่
ตอบ:
เนื่องจากตลอดระยะเวลาดำเนินโครงการ ผู้วิจัยไม่ได้ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเลย ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขาดความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือนี้ และอาจเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ดังนั้น หากจะมีการทำวิจัยโครงการต่อไป ควรดำเนินการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตั้งแต่แรก และที่สำคัญควรมีการศึกษาและวิเคราะห์ตลาดรับซื้อฟางอัดก้อนอย่างรอบด้านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผลิตล้นตลาด อันจะมีผลต่อราคาฟางอัดก้อน
ปัญหาสำคัญของการทำวิจัยทางสายสังคม โดยเฉพาะทางนิติศาสตร์ ข้อค้นพบมักเป็นนามธรรม
แต่ทิศทางและแนวโน้มการทำวิจัยในปัจจุบัน ผู้ให้ทุนอยากได้ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สามารถวัดค่าต่าง ๆ ได้
จึงอยากแนะนำให้นักวิจัยศึกษาการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคม (Social Return on Investment: SROI) เพิ่มเติม จะทำให้ผลงานวิจัยมีอะไรมากกว่าข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ทำ ๆ กัน
ผู้สัมภาษณ์: อ. ปิยอร เปลี่ยนผดุง
ผู้ให้สัมภาษณ์: ผศ. วีระยุทธ หอมชื่น
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
School of Law
University of Phayao
Address:
อาคารเรียนรวมหลังเก่า (PKY) 19 หมู่ 2 ต.แม่กา อ.เมือง จ.พะเยา 56000
โทรศัพท์ 0832566446,054-466-666
ต่อ 1614 งานธุรการ,งานแผนงาน,งานพัสดุ
ต่อ 1618 งานการเงินและบัญชี
ต่อ 1137 งานเทคโนโลยีสารสนเทศ
ต่อ 1851 งานกิจการนิสิต,งานบุคลากร
ต่อ 1852 งานวิชาการ
ต่อ 1619 คลินิกกฎหมาย,งานวิจัยและบริการวิชาการ
เว็บไซต์: https://law.up.ac.th/
YouTube: https://www.youtube.com/@LawUP
Tiktok : https://www.tiktok.com/@lawup2023
อีเมล์ law.up@up.ac.th