แต่ละภูมิภาคของประเทศไทย มีกลุ่มชุมชนที่มีความแตกต่างทั้งความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรมท้องถิ่น และที่สำคัญคือ “ภูมิปัญญา ที่ได้สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น” โดยเฉพาะในภูมิภาคล้านนาตะวันออก หรือที่เรารู้จักกันดีคือกลุ่มภาคเหนือตอนบน
บทความนี้จะโฟกัสไปที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 4 จังหวัด คือ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ที่ถือเป็นกลุ่มจังหวัดที่มีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดมาเป็นเวลาช้านานจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากธรรมชาติ ซึ่งสามารถพบได้ในท้องถิ่น นำมาใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรค หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งได้มีการใช้โดยการบอกเล่าจากปากต่อปาก สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
การผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการวิจัย
.jpg)
จากภูมิปัญญาดังกล่าว มีกลุ่มคณะนักวิจัย นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธรรมนูญ รุ่งสังข์ และคณะทำงานจากกลุ่มอาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ได้มองเห็นความสำคัญและเริ่มศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงการลงพื้นที่ไปในพื้นที่ต่าง ๆ ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติของท้องถิ่นที่มีการสืบทอดกันมาอย่างช้านาน
จุดเริ่มต้นของงานวิจัยนี้เกิดจากการทำงานร่วมกับผู้ร่วมโครงการภาคเอกชน นั่นคือ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงผึ้งโพรงธรรมชาติแม่อิงและเครือข่ายเกษตรกรปลอดสารพิษ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพของจังหวัดพะเยา ที่ใช้น้ำผึ้งโพรงในการรับประทานและใช้เพื่อการบำรุงผิว
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนดังกล่าวเกิดจากการรวมกลุ่มสมาชิกผู้เลี้ยงผึ้งโพรงธรรมชาติ เพื่อสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้เสริมให้กับสมาชิกในกลุ่ม รวมถึงช่วยอนุรักษ์พันธุ์ผึ้งโพรงที่เลี้ยงตามธรรมชาติไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา แต่ในปัจจุบันนี้สิ่งที่สร้างให้เกิด “ความท้าทาย คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ” ด้วยสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ทำให้ผลผลิตน้ำผึ้งลดลง ส่งผลให้รายได้ของวิสาหกิจชุมชนดังกล่าวลดลงตามไปด้วย
จากสถานการณ์นี้ จึงเป็นแรงผลักดันให้วิสาหกิจชุมชนเกิดแนวคิดที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับน้ำผึ้ง ด้วยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีมูลค่าสูง นั่นคือการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเครื่องสำอาง ซึ่งคณะผู้วิจัยจากสาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ที่ได้เริ่มศึกษาข้อมูลของการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ มาใช้ในการรักษาสุขภาพจึงได้ “ค้นพบคุณสมบัติพิเศษของน้ำผึ้งโพรง” ของวิสาหกิจชุมชนนี้
.jpg)
น้ำผึ้งโพรงดังกล่าวมีสารเพิ่มความชุ่มชื้นสูงกว่าน้ำผึ้งอื่น ๆ ที่อยู่ตามท้องตลาด ซึ่งทำให้เพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีและยาวนานกว่า “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธรรมนูญ รุ่งสังข์และคณะ” ได้ทำการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำผึ้งโพรงของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนี้มีสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่สูงกว่าท้องตลาดทั่วไป โดยวัดจากปริมาณไขผึ้งเฉลี่ยสูงกว่าถึง 1.5 เท่า ซึ่งเป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ให้กับภูมิปัญญาดั้งเดิมที่บรรพบุรุษใช้มากันหลายชั่วอายุคน การค้นพบในครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า “น้ำผึ้งโพรงของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน” มีศักยภาพสูงในการนำไปแปรรูป หรือพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเครื่องสำอางที่มีมูลค่าสูง
จากภูมิปัญญาสู่นวัตกรรมเทคโนโลยีผลึกเหลวจากธรรมชาติ
.jpg)
ด้วยการผสมผสานระหว่างองค์ความรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทีมคณะผู้วิจัยจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ “อิมัลชันบำรุงผิวผสมน้ำผึ้งด้วยเทคโนโลยีผลึกเหลวจากธรรมชาติ”คำว่า “อิมัลชัน” (Emulsion) คือการผสมของเหลว 2 ชนิดที่ไม่เข้ากัน เช่น น้ำกับน้ำมัน ให้รวมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยใช้งาน 2 อย่างร่วมกัน คือ “แรงเฉือน” โดยการใช้กระบวนการเขย่าหรือปั่น ให้หยดน้ำมันเล็กลง และ “emulsifier” สารช่วยผสมที่มีด้านหนึ่งชอบน้ำ อีกด้านชอบน้ำมัน ช่วยไม่ให้หยดน้ำมันรวมตัวกันอีก อิมัลชันจะพบเห็นได้ตามผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด เช่น มายองเนส โลชั่น นม ไอศกรีม สี และยาฆ่าแมลง เรียกได้ว่าเป็นศิลปะการทำให้ของเหลวที่ไม่เข้ากันอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
และที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติ จะมีคุณสมบัติเด่นที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย สามารถเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และยิ่งผสายการผลิตแบบ อิมัลชันจะทำให้เกิดการซึมไว และไม่เหนียวเหนอะหนะ อีกหนึ่งอย่างคือ “เทคนิคเทคโนโลยีผลึกเหลวจากธรรมชาติ” ได้ถูกนำมาใช้ในเครื่องสำอางส่วนใหญ่เป็นชนิดเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic Liquid Crystal) อย่างเช่น “อิมัลชันบำรุงผิวผสมน้ำผึ้งด้วยเทคโนโลยีผลึกเหลวจากธรรมชาติ”
การนำเทคโนโลยีผลึกเหลวจากธรรมชาติดังกล่าวจะทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมีโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับเยื่อหุ้มเซลล์ของผิวหนังมากที่สุด ทำให้ผิวสามารถรับสารต่าง ๆ ได้ดีขึ้น และที่สำคัญ สูตรเครื่องสำอางที่ใช้ผลึกเหลวจะคงตัว ไม่แยกชั้นง่าย และช่วยยืดอายุผลิตภัณฑ์ ช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและการซึมซับที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไทยต้องการ
จากภูมิปัญญาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาด
.jpg)
ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนี้ถูกออกแบบให้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ที่เหมาะกับผู้บริโภคในประเทศไทย โดยคำนึงถึงปัจจัยสำคัญคือสภาพอากาศและความต้องการของตลาด การที่ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ซึมเร็วและไม่เหนียวเหนอะหนะ ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ชอบความรู้สึกหนักบนผิวหน้า จากการทดสอบผลิตภัณฑ์แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป และมีความปลอดภัยสำหรับผิวแพ้ง่าย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในท้องตลาด ผลิตภัณฑ์ได้พัฒนาเป็นเซรั่มบำรุงผิวในชื่อ “Concentrated Hyaluron Honey serum jasmine rice” ภายใต้แบรนด์ INGTARA
ความสำเร็จและการรับรองคุณภาพ
นวัตกรรมดังกล่าวได้รับการยอมรับในระดับชาติ โดยได้รับรางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคุณภาพและศักยภาพของผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนี้ การได้รับรางวัลดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับทีมนักวิจัยและชุมชนแล้ว แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสในการขยายตลาดและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์นี้อีกด้วย
จากความสำเร็จสู่การถ่ายทอดนวัตกรรมสู่ชุมชน
.jpg)
นวัตกรรมนี้ทางสาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ได้อนุญาตให้วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงผึ้งโพรงธรรมชาติแม่อิง และเครือข่ายเกษตรกรปลอดสารพิษ สามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่วิสาหกิจชุมชน การถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างแท้จริง โดยเปลี่ยนวัตถุดิบที่มีราคาไม่สูงให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีมูลค่าที่สูงขึ้น “การพัฒนานวัตกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เป็นการยกระดับคุณค่าของวัตถุดิบท้องถิ่นให้มีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน” การพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงมีเป้าหมายในการขยายการผลิตให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ในวงกว้าง โดยยังคงรักษาคุณภาพและเอกลักษณ์ของวัตถุดิบจากธรรมชาติและภูมิปัญญาจากชุมชน
งานวิจัยสู่การจดอนุสิทธิบัตร
.jpg)
ผศ.ธรรมนูญ รุ่งสังข์ และคณะที่ประกอบไปด้วย ผศ.ดร.ลภัสรดา มุ่งหมาย ผศ.ดร.จักรินทร์ ศรีวิไล ผศ.ดร.เอกลักษณ์ วงแวด และผศ.ดร.วีรยา ปรีดาลิขิต ที่เป็นคณะนักวิจัยจากสาขาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา รวมถึงกลุ่มนวัตกรชุมชนจากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงผึ้งโพรงธรรมชาติแม่อิง ที่ประกอบไปด้วย คุณเอกรินทร์ ลัทธศักย์ศิริ และคุณธัญญา อินต๊ะมอย ได้นำเอาสูตรตำรับดังกล่าวไปขอจดอนุสิทธิบัตรในชื่อ “สูตรตำรับอิมัลชันบำรุงผิวผสมน้ำผึ้งด้วยเทคโนโลยีผลึกเหลวจากธรรมชาติ”
.jpg)
เมื่อเรามองย้อนกลับไป จะเห็นว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนาน ผ่านการลองผิดลองถูกของบรรพบุรุษ และถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในยุคที่เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น หลายคนเริ่มหลงลืมคุณค่าของภูมิปัญญาเหล่านี้ หากเรานำภูมิปัญญาดั้งเดิมมาผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก็อาจก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ที่ทั้งร่วมสมัยและเคารพรากเหง้าไปพร้อมกัน อย่างเช่น “นวัตกรรมอิมัลชันน้ำผึ้งโพรง ภายใต้แบรน์ INGTARA” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรท้องถิ่น โดยการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมมาผสมผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ผ่านงานวิจัยที่มีคุณภาพ ส่งผลให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ที่สูงกว่าการขายวัตถุดิบโดยตรง การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังช่วยอนุรักษ์พันธุ์ผึ้งโพรงที่เลี้ยงตามธรรมชาติและที่สำคัญคือ การได้สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบต่อไป และเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่น ๆ ในการนำเอาทรัพยากรท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยพะเยาที่ว่า “มหาวิทยาลัยสร้างปัญญา และนวัตกรรมชุมชน สู่สากล อย่างยังยืน”
ข้อมูล: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธรรมนูญ รุ่งสังข์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
เขียน/เรียบเรียง: บรรเจิด หงษ์จักร นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์กร กองกลาง มหาวิทยาลัยพะเยา