เมื่อภูมิปัญญาท้องถิ่นเดินทางมาพบกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ในหุบเขาอันเงียบสงบของจังหวัดพะเยา มีเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากความเชื่อมั่นในพลังของชุมชน และการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิม กับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเรื่องราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน แต่เป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่แผ่ขยายจากชุมชนเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ไปสู่เวทีระดับสากล
นี่คือเรื่องเล่าของสามโมเดลที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน สร้างมูลค่าให้กับสังคม และพิสูจน์ให้เห็นว่า “งานวิจัยเพื่อชุมชน” สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างแท้จริง
จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง - ทุ่งมอกโมเดล (2555-2559) การเกิดขึ้นของนวัตกรรมชุมชน
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2555 ในหมู่บ้านทุ่งมอก อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ “โครงการหมู่บ้านแม่ข่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยพะเยา” ร่วมกับ “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ได้เริ่มต้นภารกิจในการนำองค์ความรู้ด้านสีย้อมธรรมชาติจากพืชท้องถิ่นลงไปสู่ชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
การทำงานในช่วงแรกไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่น ของทีมนักวิจัยและการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้าน “กลุ่มทอผ้าไทลื้อ” บ้านทุ่งมอกเริ่มเรียนรู้และปรับใช้เทคนิคการย้อมสีธรรมชาติที่มีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาผสมผสานกับภูมิปัญญาการทอผ้าที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
ผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายได้เกิดขึ้น
เมื่อทีมประเมินจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ทำการประเมินผลการวิจัยในช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2555–2557) ผลที่ออกมาทำให้ทุกคนตื่นตา ตื่นใจในอัตราส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุน (B/C Ratio: Benefit–cost ratio การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคม) สูงถึง 20.89 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน แต่ที่สำคัญกว่าตัวเลข คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนในชุมชนบ้านทุ่งมอก สมาชิกกลุ่มทอผ้า ไม่เพียงแต่ได้รับองค์ความรู้ใหม่ ๆ แต่ยังกลายเป็น “วิทยากรชุมชน” ที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่กลุ่มลูกข่ายต่อไปได้ การยกระดับจากกลุ่มทอผ้าธรรมดา สู่หมู่บ้านแม่ข่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการได้รับโล่เชิดชูเกียรติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2558 เป็นการยืนยันถึงคุณค่าของการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยพะเยากับชุมชนอย่างแท้จริง
.jpg)
การสืบสานวัฒนธรรมผ่านนวัตกรรม
.jpg)
หนึ่งในความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโครงการ คือการนำ “ลายต่ำก๊าว” ซึ่งเป็นลวดลายโบราณอันเป็นภูมิปัญญาด้านวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวไทลื้อ มาเป็นแถบผ้าทอบนแถบชุดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยพะเยา การผสมผสานระหว่างความงามของลวดลายจากภูมิปัญญาท้องถิ่นกับความประณีตของเทคนิคการทอ ทำให้ชุดครุยของมหาวิทยาลัยพะเยามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร การนำเอาลายดังกล่าวมาเป็นแถบของชุดครุย ไม่เพียงแต่เป็นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมเพื่อไม่ให้สูญหายแล้ว แต่ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับชุมชนไทลื้อในพื้นที่จังหวัดพะเยา โดยเฉพาะอำเภอเชียงคำที่เป็นชุมชนไทลื้อขนาดใหญ่ เมื่อเห็นว่าผลงานภูมิปัญญาของตนเองได้รับการยอมรับ และนำไปใช้ในระดับสถาบันการศึกษาทำให้สังคมเกิดการรับรู้และนำไปสู่ การยอมรับจากสังคม ความโดดเด่นของ “ทุ่งมอกโมเดล” ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่รางวัลชนะเลิศในการประกวดในโครงการ “หนึ่งคณะ หนึ่งโมเดล” ในงานประชุมวิชาการ “พะเยาวิจัย 2557” ไปจนถึงการคว้ารางวัลในโครงการ จิตอาสาต้นแบบ ด้านส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม (ระดับดีเด่น) จากกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้สื่อมวลชนระดับประเทศได้ให้ความสนใจ โดยนำเสนอผ่านรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ เช่น Green Plus ของไทยพีบีเอส และรายการเที่ยงเกษตรของสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 รวมถึงการลงข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นอกจากนั้นการได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 50 กรณีศึกษา “พันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัยกับสังคม” และการตีพิมพ์บทความในหนังสือ “Socially-Engaged Scholarship” ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เป็นการยืนยันว่าโมเดลนี้มีความสำคัญในระดับชาติ
.jpg)
การขยายผลสู่ชุมชนเชิงลึก - ทุ่งมอกเชียงม่วนโมเดล (2561-2562)
.jpg)
หลังจากความสำเร็จ ในช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2555-2557) ถัดมาในช่วงปี พ.ศ. 2561-2562 จึงเป็นช่วงเวลาของการขยายผลสู่พื้นที่ใหม่ “ทุ่งมอกเชียงม่วนโมเดล” จึงถือกำเนิดขึ้นในตำบลบ้านมาง อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา โดยยังคงมุ่งเน้นการใช้สีธรรมชาติจากพืชท้องถิ่น แต่ได้พัฒนาต่อยอดให้ผลิตภัณฑ์ผ้าทอไทลื้อ มีความหลากหลายและมีคุณค่าที่สูงขึ้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนคือ ผลจากการดำเนินงานในระยะนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม สมาชิกกลุ่มทอผ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 66.97% ต่อคนต่อเดือน และที่น่าประทับใจคือกำไรเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นถึง 117.79% โดยการใช้สีย้อมธรรมชาติไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าสีสังเคราะห์ถึง 2-3 เท่า ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าความยั่งยืนและความคุ้มค่า ทางเศรษฐกิจยังสามารถดำเนินไปพร้อมกันได้จึงนำไปสู่ การสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วม โดยมีความร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านมางในการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอไทลื้อบ้านทุ่งมอก” เป็นการสร้างพื้นที่การศึกษาและเรียนรู้วัฒนธรรมการทอผ้าไทลื้อแบบครบวงจร ไม่เพียงแต่สำหรับคนในชุมชน แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป “คู่มือการย้อมด้ายฝ้ายด้วยสีย้อมธรรมชาติ” ที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงนี้ เป็นหนึ่งในผลผลิตที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการถ่ายทอดความรู้จากนักวิจัยไปสู่ชุมชน ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง และเป็นเครื่องมือในการขยายองค์ความรู้ต่อไปในอนาคต
การพัฒนาและขยายผลดังกล่าวจึงทำให้เกิด การยอมรับในระดับชาติ ซึ่งผลงานในช่วงนี้ได้รับการยอมรับผ่านรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม ประจำปี พ.ศ. 2565 ในโครงการ “องค์ความรู้จากการวิจัยสู่การส่งเสริมและพัฒนาภูมิปัญญาเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน (UP Identity)” ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคุณภาพและความสำคัญของงานวิจัยเพื่อชุมชน
การสร้างองค์ความรู้จากสีย้อมธรรมชาติ สู่นวัตกรรมชุมชนเพื่อความยั่งยืน - แม่อิงชิโบริโมเดล (2563-2567) บทใหม่ของนวัตกรรมสังคม
.jpg)
ในปี 2563 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมชุมชน เมื่อ “แม่อิงชิโบริโมเดล” ได้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้หน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม (SID) มหาวิทยาลัยพะเยา ในครั้งนี้ เป้าหมายจากการสร้างองค์ความรู้ คือการมุ่งส่งเสริมการนำนวัตกรรมการย้อมสีธรรมชาติมาปรับใช้ในกระบวนการย้อมผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ ของวิสาหกิจชุมชน กลุ่มผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิง ที่ตำบลแม่อิง อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยาเพื่อการสร้างเศรษฐกิจให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผลลัพธ์ที่เกินเป้าหมายก็เกิดขึ้น ผลจากการถ่ายทอดองค์ความรู้ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรมอย่างแท้จริง สมาชิกวิสาหกิจกลุ่มผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิง มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 55% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของโครงการที่ตั้งไว้ถึง 10% การประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI: Social return on investment) ที่ได้ถึง 1.68 เท่า แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในโครงการนี้ ไม่เพียงแต่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างคุณค่าให้กับสังคมในวงกว้างนำสู่ การสร้างอาชีพใหม่และนวัตกรรมให้กับชุมชนสิ่งที่น่าสนใจคือการที่โครงการไม่เพียงแต่เพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเดิม แต่ยังส่งเสริมให้เกิดอาชีพใหม่ในพื้นที่ เช่น การปลูกครามเพื่อผลิตสีย้อมคราม และการใช้ดอกดาวเรืองตกเกรดในกระบวนการย้อมสีธรรมชาติ การสร้างนวัตกรชุมชนระดับ 4 ด้าน สีย้อมธรรมชาติประจำกลุ่มแม่อิง เป็นการพิสูจน์ว่าชุมชนสามารถสร้างและพัฒนานวัตกรรมได้ด้วยตนเอง

ความสำเร็จของโมเดลแม่อิงชิโบริได้นำไปสู่การขยายผลไปยังกลุ่มต่าง ๆ ในจังหวัดพะเยา รวม 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทอผ้า กลุ่มผ้าพิมพ์ลาย และกลุ่มปักผ้าด้นมือ ผ่านโครงการ “การถ่ายทอดความรู้จากเทคโนโลยีการทำสีย้อมผ้าธรรมชาติ ชิโบริ สู่การเพิ่มคุณภาพของการผ้าทอในจังหวัดพะเยา” ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จากการขยายผลครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของโมเดล เมื่อมีอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนเท่ากับ 5.64 เท่า ความสำเร็จของแม่อิงชิโบริโมเดลจึงได้รับการยอมรับมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากรางวัล “นวัตกรรมเพื่อสังคม ระดับดีเด่น” ปี 2563 รางวัล “ชุมชนนวัตกรรมยอดเยี่ยม” จากงาน “The 2nd Learning and Innovation Community Award” ในปี 2566 และรางวัลที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ รางวัล GOLD MEDAL ระดับนานาชาติ จากงาน 2024 Kaohsiung International Invention and Design EXPO (KIDE 2024) ณ ประเทศไต้หวัน ในปี 2567 ซึ่งรางวัลระดับนานาชาติครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของชุมชนแม่อิง แต่ยังเป็นการยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์สีย้อมธรรมชาติจากภูมิปัญญาของไทย มีคุณภาพและเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับในเวทีสากล
.jpg)
จากประสบการณ์ สู่ปรัชญาการพัฒนา งานวิจัยดังกล่าวทำให้เราได้เรียนรู้ว่า “การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม” คือหัวใจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของชุมชน จากการศึกษาทั้งสามโมเดล พบว่า การพัฒนาชุมชนให้เกิดผลอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มต้นจากการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น กับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ไม่ใช่เพื่อทดแทนสิ่งเดิม แต่เพื่อยกระดับและเสริมประสิทธิภาพของความรู้ให้มั่นคง และถาวร อีกหลักการที่สำคัญคือ การสร้างความเป็นเจ้าของร่วมกันในชุมชน ซึ่งหมายถึง การเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเรียนรู้ การแก้ปัญหา การปรับใช้ ไปจนถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ผู้อื่น ความรู้สึกเป็นเจ้าของนี้เองที่ช่วยหล่อเลี้ยงความยั่งยืน นอกจากนี้ ชุมชนจำเป็นต้องมี เครือข่ายการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกัน เพื่อให้เกิดการขยายผลจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้าน ผ่านระบบจัดการแบบ “แม่ข่าย–ลูกข่าย” กลไกนี้ช่วยกระตุ้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ ทำให้องค์ความรู้ไม่หยุดนิ่ง และยังคงเติบโตต่อไป เราจึงเห็นชัดว่า “พลังนวัตกรรมจากชุมชน” คือแสงสว่างของอนาคต การเดินทางของทั้งสามโมเดล ตลอดเวลากว่าทศวรรษ ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแค่ในระดับท้องถิ่น แต่ยังขยายสู่ระดับชาติและนานาชาติ ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล ที่สำคัญที่สุด แนวคิด “งานวิจัยเพื่อชุมชน” จึงได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถออกจากกรอบของสถาบันการศึกษา และลงไปเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้จริง ด้วยการผสานองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ความสำเร็จของโมเดลทั้งสามนี้ จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชุมชนอื่นทั่วประเทศ ในการศึกษาและประยุกต์แนวคิดไปใช้ในบริบทของตนเอง
ข้อมูล: ผศ.ดร. กัลยา จำปาทอง อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี มหาวิทยาลัยพะเยา
เขียน/เรียบเรียง: บรรเจิด หงษ์จักร นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์องค์กร มหาวิทยาลัยพะเยา