หุ่นยนต์ต้นแบบสำหรับลาดตระเวนตรวจการ นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ


ภาพ:   |   ข้อมูล/บทความ:   |   เพิ่มข่าวโดย: bunjerd.ho@up.ac.th

หุ่นยนต์ต้นแบบสำหรับลาดตระเวนตรวจการ นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
    

ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนสำคัญ และมีบทบาทต่อการดำรงชีวิต การติดต่อสื่อสาร อำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ นอกจากนั้นยังรวมถึงการดูแล และรักษาความปลอดภัย ปัจจุบันนี้การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ได้รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้จาก หากเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การใช้หุ่นยนต์เพื่อกู้ภัย หรือสำรวจสามารถช่วยลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ ที่ต้องเสี่ยงอันตรายจากการสำรวจ หรือเก็บกู้ลงได้มาก

อีกหนึ่งบทบาทของหุ่นยนต์ที่สังคมกำลังให้ความสนใจคือ การใช้หุ่นยนต์ เพื่อการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่อาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ในการลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลา การใช้หุ่นยนต์สำหรับการลาดตระเวนแทนเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะสามารถช่วยลดความเสี่ยง และสามารถดูแลความปลอดภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากหุ่นยนต์สามารถทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ ก็จะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของสังคมสมัยใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่อาคารทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนา อุดมศรีไพบูลย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้พูดถึงคุณสมบัติเบื้องต้นของหุ่นยนต์ต้นแบบว่า

หุ่นยนต์ต้นแบบนี้ ถูกออกแบบให้สามารถตรวจการณ์ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้วัสดุที่เรืองแสงในเวลากลางคืน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในช่วงเวลาที่มีแสงน้อย นอกจากนี้ยังมีการผสานเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน เช่น การเรียนรู้และจำแนกใบหน้าบุคคล การแจ้งเตือนภัยผ่านอุปกรณ์มือถือ การตรวจจับความร้อน แก๊สรั่ว และแรงสั่นสะเทือน รวมถึงการใช้เซ็นเซอร์เพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวาง จุดเด่นสำคัญของหุ่นยนต์ต้นแบบนี้คือความสามารถในการเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างปลอดภัย ทำให้สามารถลดภาระงานและลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของมนุษย์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

     นอกจากนี้ยังได้เล่าถึงที่มาของ “โครงการพัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบ สำหรับการลาดตระเวนตรวจการ” ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทีมงานพัฒนาหุ่นยนต์แบบ Open source ที่ใหญ่ที่สุดของโลกในชื่อ “inMoov” ซึ่งมีสมาชิกกระจายอยู่ทั่วโลก และมหาวิทยาลัยพะเยาเป็นเพียงสถาบันเดียว ในประเทศไทย ที่ได้รับเกียรติให้ร่วมเป็นสมาชิกภาคีเครือข่ายในการพัฒนาหุ่นยนต์ร่วมกับทีมงานระดับนานาชาติ ซึ่งหุ่นยนต์ต้นแบบดังกล่าว ถูกออกแบบให้สามารถตรวจการณ์ภายในพื้นที่อาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้วัสดุในการผลิตที่สามารถเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในช่วงเวลาที่มีแสงน้อย นอกจากนี้ยังมีการผสานเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งหรือ Internet of Things (IoT) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของหุ่นยนต์ เช่น การเรียนรู้และจำแนกใบหน้าของบุคคล การแจ้งเตือนภัยผ่านอุปกรณ์มือถือหรือแท็บเล็ต การตรวจจับความร้อน การตรวจวัดแก๊สรั่ว การตรวจจับแรงสั่นสะเทือน รวมถึงความสามารถในการใช้เซ็นเซอร์เพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวาง จุดเด่นอีกประการหนึ่งของหุ่นยนต์ต้นแบบนี้คือ ความสามารถในการเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่สามารถเข้าถึงได้และอาจะเกิดอันตรา ทำให้หุ่นยนต์สามารถช่วยลดภาระงาน และลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของมนุษย์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

     โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากงบประมาณรายได้ของคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา ประจำปี พ.ศ. 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมในระดับอุดมศึกษาหากโครงการพัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบ

จากการแลงเห็นถึงความสำคัญในชีวิตและทรัพย์สิน สู่การพัฒนาหุ่นยนต์ต้นแบบสำหรับการลาดตระเวนตรวจการ ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการประยุคใช้ที่มากกว่าการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก คือการสร้างเทคโนโลยีเพื่อการรักษาชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐสามารถลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุคลากรของตนเอง เนื่องจากการเข้าไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และยังสามารถทราบถึงเหตุการณ์สำคัญ ๆ ได้อย่างทันท้วงที จากระบบเตือนภัยจากหุ่นยนต์สำหรับการลาดตระเวนตรวจการอีกด้วย นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการพัฒนาขีดความสามารถในการพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีของนักวิจัยไทย สู่งานวิจัยระดับนานาชาติได้อีกด้วย


ข้อมูล: ผศ. ดร.ธนา อุดมศรีไพบูลย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยพะเยา

เขียน/เรียบเรียง: บรรเจิด หงษ์จักร นักประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยพะเยา



facebooktwitterline

แท็กที่เกี่ยวข้อง


04/08/2568 11:33 น. (8 วันที่แล้ว)

สถิติการอ่านข่าวนี้
วันนี้: 2 ครั้ง | เมื่อวาน: 10 ครั้ง | เดือนนี้: 73 ครั้ง | ปีนี้: 73 ครั้ง | รวม: 73 ครั้ง