.jpg)
เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา บรรยากาศที่แปลงนาสาธิต มหาวิทยาลัยพะเยา คึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะและความตื่นเต้น เมื่ออธิการบดี ผู้บริหาร บุคลากร นิสิต และน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนสาธิต กว่า 150 คน พร้อมใจกันลงแปลงนา ไม่ใช่เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ แต่เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษชาวล้านนา ผ่านกิจกรรม “สืบสานวิถีดำนา”
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยปณิธานง่าย ๆ ของมหาวิทยาลัยพะเยา คือ “ปัญญาเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน” ในปีที่มหาวิทยาลัยครบรอบ 16 ปี และประเพณีตานข้าวใหม่ใส่บาตรหลวงเข้าสู่ปีที่ 20 มหาวิทยาลัยจึงตัดสินใจทำอะไรสักอย่างที่พิเศษกว่าทุกปี นั่นคือการให้ทุกคนได้สัมผัสกระบวนการทำนาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่แค่เป็นผู้ชม แต่เป็นผู้ลงมือทำจริง
.jpg)
กิจกรรมเริ่มต้นด้วย “พิธีแฮกนา” หรือพิธีดำนาแรก ซึ่งเริ่มต้นด้วยการที่อธิการบดีได้ปักกล้าข้าวพันธุ์หอม มพ.1 ลงในนาเป็นต้นแรกเพื่อความเป็นสิริมงคล ตามความเชื่อของชาวล้านนา ตามด้วยผู้บริหาร บุคลากร นิสิต และนักเรียน ต่างพากันถอดรองเท้า ลุยโคลน และร่วมดำนาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเท้าจะเปื้อนโคลนและเสื้อผ้าจะเปียกชื้น ก็ตาม
ภายในงานยังมีกิจกรรมแข่งขันจับปลาที่สร้างความสนุกสนานและสอนให้เห็นคุณค่าของระบบนิเวศในนา ตลอดจนกิจกรรมตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้วิถีดำนา ที่ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับความบันเทิง ซึ่งกิจกรรมนี้ได้จัดขึ้นก่อนเริ่มดำนา และเป็นกุศโลบายของชาวนาเพื่อให้ผู้ที่ร่วมแข่งขันจับปลาในนา ได้ช่วยเหยียบดินในนา ให้ร่วนซุยขึ้น เพื่อเป็นการเตรียมดินก่อนดำนา
กว่าจะถึงวันเกี่ยว
หลังจากวันดำนาผ่านไปกว่า 3 เดือน ต้นข้าวพันธุ์หอม มพ.1 เติบโตสมบูรณ์ท่ามกลางการดูแลของทีมงานคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน 2568 รวงข้าวเริ่มเหลืองอร่าม บอกว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการเก็บเกี่ยว
.jpg)
วันที่ 28 พฤศจิกายน และ 1 ธันวาคม 2568 จึงเป็นวันที่ทุกคนกลับมาพบกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มาพร้อมกับเคียวเกี่ยวข้าวและความพร้อมที่จะสัมผัสกับอีกหนึ่งบทเรียนจากท้องทุ่ง
กิจกรรม “เกี่ยวข้าว ตีข้าว วิถีชาวล้านนา” เริ่มต้นด้วยการแสดงพื้นบ้านเรื่อง “ขวัญข้าว” ที่สะท้อนถึงความเชื่อและความเคารพต่อข้าวของวัฒนธรรมในภูมิภาคล้านนา จากนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู จากคณะเกษตรศาสตร์ฯ ได้อธิบายเกี่ยวกับพันธุ์ข้าว “หอม มพ.1” และวิธีการเกี่ยวข้าวแบบดั้งเดิม คือการใช้เคียวเกี่ยวข้าว ที่ต่างจากปัจจุบันนี้ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทุ่นแรงและลดระยะเวลาการเกี่ยวลง
เมื่ออธิการบดีเริ่มเกี่ยวข้าวเป็นปฐมฤกษ์แล้ว ทุกคนก็ร่วมกัน “ลงแขก” เกี่ยวข้าวกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เหมือนวิถีชีวิตชาวบ้านในอดีตที่พึ่งพาอาศัยกัน
.jpg)
จากต้นข้าวสู่เมล็ดข้าว
.jpg)
หลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการ “ตีข้าว” หรือ “ฟาดข้าว” ซึ่งแต่ละภูมิภาคของไทยจะเรียกไม่เหมือนกัน ซึ่งการตีข้าวนี้เป็นขั้นตอนที่จะทำให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวงข้าว โดยผู้ร่วมกิจกรรม ได้ลองใช้วิธีดั้งเดิมในการฟาดรวงข้าวลงบนแป้นไม้ จากนั้นจะใช้ “วี” (ภาษาเหนือ) หรือกะลาที่สานจากไม้ไผ่ ซึ่งเป็นพัดขนาดใหญ่ ใช้พัดเศษฟาง เศษหญ้า และเมล็ดข้าวที่ไม่สมบูรณ์ออกไป กระบวนการนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจว่า การได้มาซึ่งข้าวสักเมล็ดหนึ่งนั้นต้องใช้แรงงานและเวลามากมายเพียงใด
ก่อนจบกิจกรรม มีพิธีสำคัญที่ขาดไม่ได้ นั่นคือการ “สู่ขวัญข้าว” เป็นการขอบคุณและแสดงความเคารพต่อเจ้าที่นา พระแม่โพสพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองให้ข้าวเจริญงอกงาม ตามความเชื่อของชาวล้านนาที่ว่า “ข้าวมีขวัญ มีวิญญาณเหมือนมนุษย์ ที่คอยปกปักรักษาอยู่” จึงต้องปฏิบัติด้วยความเคารพ
.jpg)
มากกว่าแค่การทำนา
สิ่งที่น่าสนใจคือข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ครั้งนี้ ไม่ได้นำไปขายหรือบริโภคเฉย ๆ แต่จะถูกนำไปใช้ในงานตานข้าวใหม่ใส่บาตรหลวงประจำปี 2569 ซึ่งเป็นประเพณีที่มหาวิทยาลัยพะเยา ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมานานถึง 20 ปี โดยจะนำข้าวไปกวนเป็น “ข้าวทิพย์” ทำข้าวต้ม ข้าวหลาม แล้วนำไปถวาย “พระเจ้าตนหลวง” ด้วยขบวนเรือแห่ที่งดงาม ในกว๊านพะเยาตามประเพณีโบราณของชาวพะเยา
.jpg)

กิจกรรมทั้งสองนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม
SDG 1 และ 2 คือ การขจัดความยากจนและความหิวโหย การฟื้นฟูภูมิปัญญาการเกษตรพื้นบ้าน ช่วยให้ชุมชนมีความมั่นคงทางอาหารและรายได้ที่ยั่งยืน
SDG 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ เป็นการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้วิชาการเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น
SDG 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน เนื่องจากการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น มหาวิทยาลัยพะเยามองว่า เป็นรากฐานสำคัญของชุมชน ทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง
SDG 12 การบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน ซึ่งวิถีการทำนาแบบดั้งเดิมนั้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด
นอกจากนี้ กิจกรรมทั้งหมด ยังสอดคล้องกับโมเดล BCG Economy ของประเทศไทย ทั้งในมิติเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) การใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีคุณค่า เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การสืบทอดภูมิปัญญาให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่อง และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การเกษตรที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
.jpg)
บทเรียนจากท้องนา
สิ่งที่ทุกคนได้รับจากกิจกรรมทั้งสองครั้งนี้ มันมากกว่าแค่ความรู้หรือความสนุก แต่เป็นการตระหนักถึงคุณค่าของ “ข้าว” ที่เราได้เห็น ได้กิน ในทุกวันแบบขาดไม่ได้ และที่สำคัญคือ ได้เห็นถึงความยากลำบากของเกษตรกร และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สั่งสมมานานนับพัน ๆ ปี
.jpg)
การที่ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยยังยอมลงมาลุยโคลนดำนาและเหนื่อยแรงเกี่ยวข้าวไปพร้อม ๆ กับนิสิต บุคลากร และนักเรียน นั่นสะท้อนถึงจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัยพะเยา ที่ไม่ได้มองวัฒนธรรมเป็นเพียงสิ่งที่ต้องศึกษาจากหนังสือ แต่เป็นสิ่งที่ต้องสัมผัส ลงมือทำ และสืบทอดต่อไป ตามปรัชญาการจัดการศึกษาคือ “ประสบการณ์สร้างปัญญา”
.jpg)
เมื่อข้าวหอม มพ.1 ที่ปลูกด้วยมือของทุกคนถูกนำไปถวายพระในงานตานข้าวใหม่ ช่วงต้นปี 2569นั่นจะเป็นการปิดวงจรของเรื่องราวที่สวยงาม จากเมล็ดพันธุ์สู่ต้นกล้า จากต้นกล้าสู่รวงข้าว และจากรวงข้าวสู่บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ เชื่อมโยงจิตวิญญาณ วิถีเกษตร ศาสนา วัฒนธรรม และการเรียนรู้เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
นี่คือวิธีที่มหาวิทยาลัยพะเยาแสดงให้เห็นว่าการเป็น “มหาวิทยาลัยที่สร้างปัญญา และนวัตกรรมชุมชนสู่สากลอย่างยั่งยืน” ไม่ได้หมายถึงแค่การวิจัยในห้องปฏิบัติการ หรือตีพิมพ์บทความวิชาการ แต่รวมถึงการลงไปสัมผัส ดิน น้ำ และวิถีชีวิต ของคนในพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างแท้จริง
และเมื่อรวงข้าวเหลืองอร่ามโบกสะบัดในสายลม เราจะรู้ว่านั่นไม่ใช่แค่ข้าวธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจ ความสามัคคี ความอดทน และความหวังของชุมชน ที่จะสืบสานวิถีวัฒนธรรมอันงดงามนี้ ไปสู่ลูกหลานในอนาคตต่อไปอย่างยั่งยืน
เขียน/เรียบเรียง: บรรเจิด หงษ์จักร นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยพะเยา
ข้อมูล: ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมล้านนา มหาวิทยาลัยพะเยา