ผมนั่งฟังเรื่องราวของน้องหมิว (ศศิธร ศรีพิมาย) นิสิตปริญญาโท คณะเกษตรศาสตร์ฯ และน้องแบงค์ (พลพล เพชรชนัญญา) นิสิตปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยหนานฮัว ไต้หวัน ภายใต้โครงการ NHU–UP Higher Education Sprout 15 วันที่ผ่านมา มันเปลี่ยนอะไรในตัวพวกเขาบ้าง

เมื่อ SDGs กลายเป็นตั๋วเครื่องบินให้ 2 นักล่าฝัน
จุดเริ่มต้นของทั้งสองคนต่างกัน น้องหมิวเจอโอกาสนี้เอง หลังได้ไปต้อนรับคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยหนานฮัว แล้วติดตามข่าวจาก เพจงานวิเทศสัมพันธ์ ส่วนน้องแบงค์ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ภาษาจีน ตอนแรกไม่คิดจะยื่น แต่เพื่อนอยากไปด้วยกัน เลยลองส่ง
สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการเขียน Proposal ภาษาอังกฤษทั้งหมด และต้องเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
น้องหมิวเลือก SDG 2, 3, 5 และ 17 ใช้แนวคิด “No Forest No Food” เชื่อมโยงการเผาป่ากับความมั่นคงทางอาหาร สิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมทางเพศ และความร่วมมือ เธอบอกว่าผู้หญิงมักเข้าป่าเก็บพืชผัก ส่วนผู้ชายดับไฟป่า จึงเล่นประเด็นความเท่าเทียมได้
น้องแบงค์เลือก SDG 3 และ 4 เรื่องสุขภาพและการศึกษา เขามองว่าการศึกษาไทยเปิดกว้างแล้ว แต่ลึกๆ ยังไม่เท่าเทียม บางคนได้รับบางคนไม่ได้รับ เลยเสนอแนวคิด “พาครูออกไปสอนข้างนอก” ผสมผสานการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน
.jpg)
การสัมภาษณ์เป็นอีกด่านที่ต้องผ่าน มีคณาจารย์หลายท่านรอฟัง รวมถึง รศ.ดร. ผณินทรา ธีรานนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี อาจารย์จากสายภาษา และอาจารย์จากโรงเรียนสาธิต ทุกท่านเก่งภาษาอังกฤษมาก และที่สำคัญคือมีคู่แข่งที่มาสัมภาษณ์ด้วยอีก 8-9 คน น้องแบงค์เล่าว่าหลังออกจากห้องสัมภาษณ์ กำลังใจลดลง เพราะตื่นเต้นกังวล รู้สึกตอบวกไปวนมา
น้องหมิวก็ไม่ได้หวังมาก แค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มั่นใจ แต่อยากท้าทายตัวเอง ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ได้เสียหายอะไร

15 วันที่เปลี่ยนมุมมอง
เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยหนานฮัว จังหวัดเจียอี้ ทั้งสองคนเล่าว่าสิ่งแวดล้อมคล้าย ๆ กับพะเยาบ้านเรามาก ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง การปรับตัวเลยไม่ลำบาก แต่ที่ลำบากคือ "ห้องน้ำ" ที่ไม่เหมือนกับบ้านเรา "เวลา" ที่ห่างกันหนึ่งชั่วโมง และอาหารที่จืด เค็ม มัน ไม่มีของเปรี้ยวและเผ็ด แต่โชคดีที่มีรุ่นพี่คนไทยที่คอยพาไปหาร้านนอกมหาวิทยาลัย
น้องหมิวบอกว่าไม่ต้องปรับตัวมาก โดยเฉพาะเรื่องสังคม เพราะได้เจอ “Sheila” และ “Maye” ชาวฟิลิปปินส์ ที่เป็นนักศึกษาภาคอินเตอร์มารับที่สนามบิน และต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนกัน ความกังวลจึงหายไป ...
SDGs ในห้องเรียนจริง
เมื่อต้องเริ่มเรียนที่มหาวิทยาลัยหนานฮัว การเรียนของทั้งสองคนที่ไทยต่างกัน จึงต้องแยกกันตามสาขา น้องแบงค์เรียนสาย Education น้องหมิวเรียนสาย Green Technology
.jpg)
น้องแบงค์เล่าว่าได้เรียนวิชาหนึ่งที่น่าสนใจ คือการสอนผ่านการร้องเพลงภาษาอังกฤษเพื่อสอนเด็ก ให้เด็กทำกิจกรรมไปด้วยแล้วได้ความรู้ไปในตัว ซึ่งที่มหาวิทยาลัยพะเยาหรือในไทยไม่น่าจะมี และน้องหมิวเสริมว่าวิชาที่นั่นน่าสนใจเยอะมาก แต่แปลกที่สุดคือ “วิชาการจัดการหลังความตาย” เพราะมหาวิทยาลัยหนานฮัว ได้รับทุนจากวัดฝอกวงซาน จึงมีวิชาเกี่ยวพุทธศาสนาเฉพาะทาง นักศึกษาเรียนรู้การจัดการเมื่อมีคนเสียชีวิต ทำพิธียังไง สวดมนต์ยังไง พูดคุยกับครอบครัวผู้เสียชีวิตให้เหมาะสม จัดงานให้สมเกียรติ
มันแปลกแต่น่าสนใจ เพราะไทยเราไม่มี คนที่เรียนจะใส่สูทมาเรียน เป็นแบบสัปเหร่อผู้ดี จบมามีงานทันที
.jpg)
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
กิจกรรมท้าทายที่สุดคือการ present ต่อหน้า Professor จากแต่ละคณะ เหมือนคณบดีมานั่งฟัง นำเสนอ Feedback ว่ามาที่นี่เป็นยังไง ได้รับอะไรบ้าง น้องแบงค์บอกว่ากลัวมากว่าจะสื่อสารไม่รู้เรื่อง เพราะภาษาอังกฤษไม่แข็งขนาดนั้น แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
อีกประสบการณ์คือการใช้ภาษาจีนในชีวิตจริง น้องแบงค์เรียนภาษาจีนแค่เทอมเดียว พยายามใช้สื่อสารกับชาวไต้หวัน แม้ที่นั่นจะใช้จีนตัวเต็มซึ่งต่างจากที่เรียนในไทย แต่การออกเสียงเหมือนกัน ถ้าเราพูดไปเขาก็เข้าใจ มันทำให้เขากล้าพูดภาษาจีนมากขึ้น
มีเหตุการณ์หนึ่งที่อบอุ่น เมื่อพวกเขาพลาดรถประจำทางที่ต้องรออีกหนึ่งชั่วโมง น้องแบงค์เห็นแท็กซี่ก็โบก มี Professor คนหนึ่งที่พลาดรถเหมือนกันอยู่ในรถ เขาเลยเชิญทั้งสองขึ้นไปและพาไปส่งหอพัก พร้อมจ่ายค่ารถให้หมด Professor ท่านนั้นบอกว่าชอบประเทศไทย คนไทยใจดีกับเขามาก
มากกว่าความรู้ในตำรา
.jpg)
เมื่อถามว่า 15 วันได้อะไรกลับมาบ้าง ทั้งคู่ตอบเหมือนกัน “ได้ประสบการณ์ ได้สังคมใหม่เยอะมาก ได้รู้จักชีวิตที่ไม่เคยคิดว่าเราจะมีวันนี้”
น้องหมิวที่เรียนสาย Green Technology บอกว่าได้เห็นภาคเกษตรว่าเขาทำยังไง แม้ไม่ได้เชื่อมโยงกับโปรเจกต์ตรงเป๊ะ แต่ adapt ได้ อย่างการใช้เทคโนโลยีหรือส่งเสริมการเกษตร ซึ่งสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับ SDG 2 และ 3 ที่เธอตั้งเป้าไว้
น้องแบงค์บอกว่าได้เรียนรู้การใช้ชีวิตต่างแดน ว่าต้องอยู่ยังไงให้รอด เรียนรู้วัฒนธรรมของเขา สิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือการท้าทายตัวเองขึ้นรถไฟเที่ยว ท่ามกลางความไม่รู้ว่าต้องไปเส้นทางไหน แล้วพยายามสื่อสารกับคนท้องถิ่นด้วยภาษาจีน
น้องหมิวเน้นย้ำว่าสิ่งที่ได้มาคือมิตรภาพ ได้เจอเพื่อนเยอะ ได้เจอสังคมที่ดีมาก เธอเล่าว่าตัวเองเป็นIntrovert ไม่กล้าทักทายใครก่อน แต่อีกใจหนึ่งไม่อยากพลาดโอกาสที่จะรู้จักคนดีๆ เพื่อนฟิลิปปินส์ เพื่อนเวียดนาม พวกเขาน่ารัก และยังติดต่อกันอยู่
ทั้งสองเห็นตรงกันว่า 15 วันนั้นสั้นเกินไป อาทิตย์แรกปรับตัวเสร็จ พอปรับตัวได้ก็กลับแล้ว เวลาเพื่อน ๆ ถามว่าอยู่กี่เดือน พอตอบว่าสองอาทิตย์ เขาก็จะว่าทำไมน้อยมาก ถ้ามีโอกาสครั้งต่อไป น่าจะอยู่สักเดือนหนึ่ง
.jpg)
ฝากถึงคนที่กำลังลังเล
ก่อนจบการสัมภาษณ์ ได้ถามว่ามีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังลังเล โดยเฉพาะคนกังวลเรื่องภาษา น้องแบงค์บอกว่ามันอยู่ที่ความอยากจะไปของเรามากน้อยแค่ไหน มันเป็นแรงผลักดัน ถ้าอยากลองออกจากกรอบ อยากออกจากโลกของเราดูว่าโลกภายนอกเป็นยังไง ถ้าอยาก Challenge ตัวเองหรือหาความรู้เพิ่มเติม เขาแนะนำให้ลอง และที่สำคัญ
ไม่ต้องรอให้ตัวเอง Perfect ก่อน ให้ยื่นไปเลย ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ก็ยื่นไปเลย อย่างน้อยตัวเองก็ก้าวมาอีกหนึ่งระดับแล้วจากคนอื่นที่เขาไม่กล้ายื่นไป
น้องหมิวเสริมว่าเธอเคยเป็นเด็กที่ท่อง ABC ไม่ได้เลยตอนประถม แต่วันนี้สามารถใช้ชีวิตและสื่อสารภาษาอังกฤษได้ มันเพราะเธอนั่งเรียนกับตัวเอง มี YouTube ก็นั่งเรียนไปเรื่อย ฟังบ่อยๆ ฟังเยอะๆ ฝึกฟัง ฝึกแปล และเธอชอบคุยคนเดียวในหัวเป็นภาษาอังกฤษ เพราะในชีวิตประจำวันไม่มีคนให้คุยด้วยเป็นภาษาอังกฤษ
ภาษามันแค่การสื่อสารให้เข้าใจกัน มันไม่ใช่ตัวที่มาตีกรอบว่าทำไมพูดไม่ได้ ประเด็นหลักคือเราเข้าใจกันไหมในเรื่องที่เราคุยกันอยู่
เธอบอกว่าตอนนี้มีเทคโนโลยีเยอะ เช่น Google Translate แต่เราก็ควรมี Skill ติดตัวด้วย ไม่ควรพึ่งแต่ Google Translate อย่างเดียว
สิ่งที่น้องหมิวอยากฝากไว้คือ “การออกจาก comfort zone ของตัวเองก่อน ลองก้าวออกจากกรอบของตัวเอง ที่ตัวเองตีเอาไว้” เธอบอกว่าอาจารย์ชอบบอกตลอดว่าเธอมีศักยภาพกว่าที่คิด อย่าไปตีกรอบตัวเองว่าตัวเองทำได้แค่นี้ ทำไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอลองส่ง Proposal ไป “ลองส่งไปก่อน ถ้าตัวเองทำได้ขึ้นมา มันภูมิใจมาก”
.jpg)
เรื่องราวของน้องหมิวและน้องแบงค์ทำให้เห็นว่า การก้าวออกจาก comfort zone เพื่อไปเผชิญความท้าทายที่ไม่คุ้นเคย คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้คนเราเติบโต กล้ามากขึ้น และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ยังขาดอยู่
SDGs ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่กรอบในการเขียน proposal ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นตั๋วเครื่องบินที่พาพวกเขาไปสัมผัสโลกกว้าง ไปเห็นว่าการศึกษาสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ การเกษตรสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาชีวิตเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญคือ ได้เรียนรู้ว่าความร่วมมือข้ามวัฒนธรรมเกิดขึ้นได้จริง เมื่อเราเปิดใจและกล้าที่จะก้าวออกไป
15 วันอาจสั้น แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในชีวิตของพวกเขา ที่กลับมาพร้อมความมั่นใจว่าตัวเองทำได้มากกว่าที่คิด และที่สำคัญคือ มันเป็นแรงผลักดันให้คนอื่น ๆ กล้าก้าวออกไปตามหาฝันของตัวเองเช่นกัน เพราะถ้าน้องหมิวที่เคยท่อง ABC ไม่ได้ยังทำได้ แสดงว่าใครก็ทำได้เหมือนกัน แค่ไม่ต้องรอให้ตัวเอง perfect ก่อน แค่มีความมันใจและความกล้าเท่านั้น
.jpg)
เขียน/เรียบเรียง: บรรเจิด หงษ์จักร นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยพะเยา
ข้อมูลบทสัมภาษณ์: น้องหมิว ศศิธร ศรีพิมาย / น้องแบงค์ พลพล เพชรชนัญญา