สิทธิในการปฏิเสธการรับบริการสาธารณสุขเพื่อยืดการตายในระยะท้ายหรือยุติความทรมานจากการเจ็บป่วย ตามมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
สรุปสาระสำคัญ (2-Minute Read)
- ผู้ป่วยที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือต้องทุกข์ทรมานกับอาการป่วยของตนเองที่ไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตนออกไป หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้สามารถทำ “หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในระยะท้าย” (Living Will) เอาไว้ล่วงหน้าได้ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
- เมื่อทำหนังสือแสดงเจตนาแล้ว ผู้ป่วยที่ทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ยังคงได้รับการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) เป็นการรักษาพยาบาลอย่างมีมนุษยธรรมเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายได้โดยไม่เกิดความทุกข์ทรมาน และทำให้จากไปอย่างสงบ
- ประเทศไทยในปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำการุณยฆาต (Euthanasia) โดยเฉพาะการุณยฆาตเชิงรุก (Active Euthanasia) ที่มีลักษณะเป็นการเร่งการตายให้เร็วขึ้นด้วยการนำสารหรือวัตถุอื่น ๆ เข้าสู่ร่างกาย ผู้กระทำอาจต้องรับโทษตามกฎหมายอาญาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
สิทธิในการตาย (Right to Die หรือ End-of-Life Rights) หมายความถึง สิทธิของบุคคลที่จะปฏิเสธการรักษาพยาบาลเมื่อบุคคลนั้นต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยระยะสุดท้าย เช่น การปฏิเสธการผ่าตัด การใช้ยา การช่วยคืนชีพ หรือการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อยื้อชีวิตออกไปเพื่อชะลอการตาย ในยุคปัจจุบัน สิทธิในการตายเป็นสิทธิที่มีการพูดคุยกันมากขึ้นว่า โดยถือว่าเป็นหนึ่งในการดำรงรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (human dignity) และสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง (Right to Self-Determination)
รูปแบบของการใช้สิทธิในการตาย มีการแบ่งประเภทของการใช้สิทธิในการตายตามวัตถุประสงค์และรูปแบบหลายอย่างด้วยกัน โดยหากจัดประเภทตามรูปแบบแล้ว การใช้สิทธิในการตายโดยที่ผู้ป่วยเป็นผู้ร้องขอด้วยตนเองในภาวะที่สามารถให้ความยินยอมได้อาจแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ ได้แก่ การใช้สิทธิในการปฏิเสธการรักษา และ การใช้สิทธิในการร้องขอให้จบชีวิตของตนเอง
ประเทศไทยในปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำการุณยฆาต (Euthanasia) โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยร้องขอให้จบชีวิตตนเองหรือเร่งการตายของตนเองให้เร็วขึ้นด้วยการนำสารหรือวัตถุอื่น ๆ เข้าสู่ร่างกายในลักษณะของการุณยฆาตเชิงรุก (active euthanasia) ซึ่งการการุณยฆาตในลักษณะดังกล่าวถึงไม่สามารถทำได้และผู้กระทำอาจต้องรับโทษตามกฎหมายอาญาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามกฎหมายไทย
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้และไม่ประสงค์ที่จะให้ยื้อชีวิตด้วยวิธีการทางสาธารณสุขหรือต้องการยุติการรักษาเพื่อไม่ให้ตนเองต้องเจ็บปวดต่อไป สามารถทำ “หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในระยะท้าย” ตาม มาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีบทบัญญัติ ดังนี้
"บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง"
สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 นั้น มีการขยายความเพิ่มเติมใน “กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. 2553” ของกระทรวงสาธารณสุข
จากบทบัญญัติดังกล่าวอาจกล่าวได้โดยสรุป คือ
- บุคคลที่มีสิทธิในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในระยะท้าย ได้แก่ บุคคลที่ (1) อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต คือ มีภาวะการเจ็บป่วยที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้และผู้ประกอบเวชกรรมที่รับผิดชอบการรักษาได้วินิจฉัยตามาตรฐานทางการแพทย์แล้วว่า ภาวะที่เป็นอยู่จะนำไปสู่การตายในระยะเวลาอันใกล้หรืออาจนำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการรับรู้และติดต่อสื่อสารอย่างถาวร ปราศจากการตอบสนองว่าสามารถรับรู้ได้ มีเพียงปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติเท่านั้น หรือ (2) มีความทุกข์ทรมานทางร่างกายหรือจิตใจจากอาการบาดเจ็บหรืออาการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย
- การทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในระยะท้าย ต้องทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อหรือลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทําหนังสือแสดงเจตนา พยาน และผู้เขียนหรือผู้พิมพ์ไว้ด้วย โดยมีรายละเอียดตามกฎกระทรวงฯเช่น ชื่อของผู้จัดทำหนังสือแสดงเจตนา บริการสาธารณสุขที่ไม่ต้องการให้ดำเนินการ รวมไปถึงความประสงค์อื่น ๆ โดยการทำหนังสือแสดงเจตนานี้จะทำ ณ สถานที่ใดก็ได้ และผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือยกเลิกหนังสือแสดงเจตนาเมื่อใดก็ได้ และเมื่อผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาเข้ารับบริการทางสาธารณสุขให้ส่งมอบหนังสือนั้นแก่บุคคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาลดังกล่าว
- ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของผู้จัดทําหนังสือแสดงเจตนาแล้วมิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง
ในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขได้เปิดระบบ e-living will เพื่ออำนวยความสะดวกให้สามารถทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในระยะท้ายทั้งในระบบและนอกบริการสาธารณสุข และเพื่อให้สถานพยาบาลสามารถทำการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่อง living will ของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาร่วมกัน เพื่อที่จะได้ให้การดูแลรักษาตรงตามเจตนาของผู้จัดทำหนังสือได้อีกด้วย
เมื่อทำหนังสือแสดงเจตนาแล้ว ผู้ป่วยที่ทำหนังสือแสดงเจตนายังคงได้รับการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) เพื่อให้ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายได้โดยไม่เกิดความทุกข์ทรมานและจะทำให้จากไปอย่างสงบ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลบรรเทาโรคตามอาการ (symptom control) การบรรเทาความเจ็บปวด (pain relief) รวมไปถึงการได้รับการดูแลทางจิตใจด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยการรักษาอย่างมีมนุษยธรรม โดยต้องมีการทำความเข้าใจกับญาติของผู้ป่วยให้เข้าใจสถานการณ์ ความต้องการของผู้ป่วย และได้วางแผนในการดูแลร่วมกันอีกด้วย
แนวทางในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตายในระยะท้าย
แหล่งข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติม
ดวงพร เพชรคง, (ม.ป.ป.). ความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต (Living Will).
https://cdc.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=1786
ไพศาลย์ ลิ้มสถิตย์, (2552) สิทธิปฏิเสธการรักษาของผู้ป่วยตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ.
https://dunlaphaha.coj.go.th/upload/2552/3/2552_3_a13.pdf
อนัญพร พูลนิติพร, (ม.ป.ป.). หลักสิทธิมนุษยชนกับสิทธิการตายในสังคมไทย
https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/ewt_dl_link.php?nid=1531
อารยา เนื่องจํานงค์, (2560). ความยินยอมกับความรับผิดทางอาญา: ศึกษากรณีการุณยฆาต.
https://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/57920819.pdf
Metha Trikasemmart, et al., (2024). Validation of the Thai translation of the attitudes toward euthanasia scale. Heliyon. Volume 10, Issue 22, 30 November 2024, e40271.
https://doi.org/10.1016/j.heliyon.2024.e40271
Wanawanakorn, K., & Wiriyanupong, S. . (2024). Euthanasia: The appropriate form of law for Thai society. Public Health Policy and Laws Journal, 10(2), 169–181. Retrieved from
https://so05.tci-thaijo.org/index.php/journal_law/article/view/270156
Chutarattanakul L, Jarusukthavorn V, Dejkriengkraikul N, Oo MZ, Tint SS, Angkurawaranon C, Wiwatkunupakarn N., (2024). Misconception between palliative care and euthanasia among Thai general practitioners: a cross-sectional study. BMC Palliat Care. 2024 Apr 11;23(1):96. doi: 10.1186/s12904-024-01430-6. PMID: 38600512; PMCID: PMC11007896.
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC11007896/pdf/12904_2024_Article_1430.pdf
บทความโดย ปิยอร เปลี่ยนผดุง (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา)
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
School of Law
University of Phayao
Address:
อาคารเรียนรวมหลังเก่า (PKY) 19 หมู่ 2 ต.แม่กา อ.เมือง จ.พะเยา 56000
โทรศัพท์ 0832566446,054-466-666
ต่อ 1614 งานธุรการ,งานแผนงาน,งานพัสดุ
ต่อ 1618 งานการเงินและบัญชี
ต่อ 1137 งานเทคโนโลยีสารสนเทศ
ต่อ 1851 งานกิจการนิสิต,งานบุคลากร
ต่อ 1852 งานวิชาการ
ต่อ 1619 คลินิกกฎหมาย,งานวิจัยและบริการวิชาการ
เว็บไซต์:
https://law.up.ac.th/
YouTube:
https://www.youtube.com/@LawUP
Tiktok :
https://www.tiktok.com/@lawup2023
อีเมล์ law.up@up.ac.th